

พระทักขิณโมลีธาตุ
กล่าวได้ว่าพระทักขิณโมลีธาตุ เป็นมากกว่าพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้แก่ชาวจอมทองหากยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่ยึดเหนี่ยวให้ พุทศาสนิกชน ตั้งมั่นในศรัทธาสืบเนื่องมากว่า ๕๐๐ ปี
พระบรมสารีริกธาตุ เรียก (โดยย่อว่าพระบรมธาตุ) คือพระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ได้ทรงอธิษฐานไว้ก่อนปรินิพพานให้คงเหลือไว้หลังจากการ ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธบริษัทดังคำอธิษฐานของพระองค์ท่านที่ว่า
“เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อเราแม้ปรินิพานแล้ว มหาชนถือพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทำเจดีย์ในที่อยู่ของตน และปรนนิบัติ จะมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
พระพุทธประสงค์ดังกล่าวนี้เพื่อให้ศาสนาของพระองค์แพร่หลายไปและผู้ที่เกิดมาภายหลัง ไม่ทันเห็นพระองค์เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ จักได้กระทำการสักการบูชาเพื่อเป็นกุศลแก่ตน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระบรมสารีริกธาตุแพร่หลายไปยังดินแดนต่างๆ นับแต่หลังพุทธปรินิพพานเป็นต้นมา
ชาวพุทธเชื่อว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นวัตถุแทนองค์พระบรมศาสดาที่ทรงคุณค่าในศาสนาพุทธ จึงนิยมกระทำการบูชาองค์พระบรมสารีริกธาตุโดยประการต่างๆ เช่น การสร้างเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระธาตุไว้สักการะ โดยเชื่อว่ามีอานิสงส์ประดุจได้กระทำการบูชาแด่พรพุทธเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่
ในขณะที่พระบรมสารีริกธาตุองค์อื่นๆ มักจะประดิษฐานอยู่ในสถูปหรือเจดีย์ หากพระทักขิณโมลีธาตุ จะประดิษฐานอยู่ในโกศภายในมณฑปปราสาทในวิหารหลวงของวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหาร และเปิดให้ประชาชนสรงน้ำสักการะทุกปี ถือเป็นพระบรมธาตุที่ใกล้ชิดกับ ศาสนิกชนมากที่สุดพระองค์หนึ่ง

พระทักขิณโมลีธาตุ มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ ที่ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวอินเดีย องค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก เสด็จมาอัญเชิญพระบรมธาตุสู่คูหาใต้พื้นดอยจอมทอง จนมีการก่อสร้างสถาปนาวัดพระธาตุศรีจอมทอง และมีการค้นพบพระบรมธาตุในกาลต่อมา นับแต่นั้น พระทักขิณโมลีธาตุก็ทรงสถิตอยู่ในใจพุทธศาสนิกชนในทุกแว่นแคว้นที่ต่างรอนแรมมานมัสการยังดอยจอมทอง รวมทั้งก่อให้เกิดจารีตพิธีกรรมละประเพณี กลายเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามและทรงคุณค่าสืบต่อมาถึงปัจจุบัน